ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีผู้ประกอบการเรือดูดทรายตามลำน้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่ อ.เมืองนครสวรรค์ไปจนถึงอำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นโซนนิ่งพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการดูดทรายมากกว่า 20 แห่ง ถูกผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น รวมถึงชาวบ้านออกมาเรียกร้องให้ทางจังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ ปัญหาการดูดทรายที่ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชุมชน ทั้งฝุ่นฟุ้งกระจาย หมอกควัน รถบรรทุกน้ำหนักเกิน ตลิ่งพัง ถนนทรุด และปัญหาการลักลอบดูดทรายผิดกฎหมาย เลี่ยงการเสียภาษี สร้างความเสียหายให้แก่ภาครัฐ แต่ไร้หน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าไปกำกับดูแลจริงจัง
ทางด้านชาวบ้านผู้ร้องเรียน และผู้นำชุมชนท้องถิ่น ต่างระบุว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการดูดทรายในพื้นที่ส่วนใหญ่จะมีการฉวยโอกาสช่องว่างของกฎหมาย การกอบโกยผลประโยชน์ดูดทราย ขึ้นมาขาย เนื่องจากปัจจุบัน ภายใต้ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการอนุญาตให้ดูดทราย พ.ศ. 2546 รวมถึงการอนุญาต ให้ดูดทราย ตามมาตรา120 ทำให้ผู้ประกอบการบางรายที่เป็นกลุ่มมีอิทธิพลหันไปใช้ช่องว่างกฎหมายต่างเร่งดูดทรายในแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาขายกันวันละนับร้อยเที่ยวทำให้ภาครัฐได้รับความเสียหายเนื่องจากการดูดทรายตามมาตรา120 สามารถดูดได้เพียงท่าละ27000-30000คิวต่อท่าในระยะเวลา 6 เดือน บางท่าใช้เรือดูดทรายจำนวนหลายลำ ชาวบ้านจึงถามถึงความเสียหายต่อภาครัฐว่ามีการตรวจสอบหรือไม่และมีหน่วยงานไปควบคุมดูแลตามกฎหมายจึงวอนฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขและลงไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย
แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่าไม่มีการดำเนินการนำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการใช้ช่องว่างระหว่างการรออนุญาตดำเนินการ ส่งผลให้ภาครัฐได้รับความเสียหาย แต่ผู้ประกอบการใช้ช่องว่างกฎหมายกอบโกยผลประโยชน์ แต่ไม่มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบจริงจัง กลายเป็นปัญหาความเดือดร้อน ทั้งเรื่องความมั่นคง การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การรักษาร่องน้ำ และการป้องกันตลิ่งพังจึงอยากวอนหน่วยงานเจ้าหน้าที่หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบ ทั้งกรมเจ้าท่า กรมที่ดิน กรมศุลกากร กรมการปกครอง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน กรมอุตสาหกรรม และหน่วยงานความมั่นคง ช่วยตรวจสอบ แก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ก่อนที่ทรัพยากรธรรมชาติจะเสียหายมากกว่านี้